คอลลาเจนมีกี่ประเภท? รวมทุกเรื่องคอลลาเจนที่คุณต้องรู้
เราอยู่ในยุคสมัยที่มีการใช้และทานคอลลาเจนอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะในวงการแพทย์ก็ดี หรือสุขภาพความงามก็ดี เรียกได้ว่าแทรกซึมอยู่ในชีวิตประจำวันไปแล้ว โดยสังเกตุได้จากการที่เราจะมาสามารถเห็นคอลลาเจนในเซเว่น หรือตามร้านสะดวกซื้อต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย แต่หลายๆ คนนั้นยังขาดความรู้ในเรื่องของคอลลาเจน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคอลลาเจนนั้นแบ่งได้เป็นกี่ประเภท คอลลาเจนแต่ละชนิดแตกต่างกันอย่างไร หรือวิธีการทานคอลลาเจนให้ถูกต้อง เพราะถึงแม้ว่าการทานคอลลาเจนจะไม่มีความเสี่ยงสูงเหมือนอาหารเสริมอื่นๆ แต่ถ้าเรารู้ข้อมูลว่า คอลลาเจนมีกี่ประเภท ต้องทานคอลลาเจนแบบไหน ประเภทใดที่เหมาะสมกับความต้องการของตนเองก็ย่อมมีชัยไปกว่าครึ่ง
คอลลาเจนคืออะไร
คอลลาเจน (Collagen) มาจากรากคำศัพท์ภาษากรีก Kolla แปลว่า แป้งและน้ำที่หนืดติดพัน หรือสมัยก่อนนำวัตถุสองชนิดนี้มาทำเป็นกาว เพื่อยึดติดสองสิ่งเข้าด้วยกัน และคอลลาเจนเป็นเส้นใยโปรตีนที่ผสานกับอย่างหลวมๆ มีหน้าที่เกาะติดยึดส่วนอวัยวะในส่วนต่างๆ ทั่วทั้งร่างกายเปรียบเสมือนกาวที่เชื่อมโยงใยนั่นเอง
ในร่างกายของมนุษย์จากภายนอกจนถึงอวัยวะภายในนั้นพบคอลลาเจนถึง 90 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว เพราะคอลลาเจนเป็นองค์ประกอบสำคัญในโครงสร้างผิวผนัง เนื้อเยื่อ ผนังหลอดเลือด กล้ามเนื้อไปถึงส่วนกระดูกอ่อน โดยทั่วไปแล้วร่างกายสามารถผลิตคอลลาเจนได้ในปริมาณที่มากเมื่อเรายังอยู่ในวัยเยาว์ และการรับประทานอาหารครบทั้ง 5 หมู่ แต่เมื่ออายุที่เพิ่มมากขึ้น สมรรถภาพของการสร้างคอลลาเจนก็เริ่มน้อยลงเป็นเรื่องธรรมดา จึงทำให้ต้องมีการบริโภคเป็นการเสริมสร้างในการสร้างคอลลาเจนมากขึ้้น
เพราะคอลลาเจนคือโปรตีนชนิดที่เป็นสายยาวตามผิวหนัง พบมากสุดในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ประกอบด้วยประเภทเส้นฝอยและเส้นใย ทำให้มีการยืดหยุ่นมีแรงดีดคล้ายกับสปริงและฟื้นฟูให้ผิวอิ่มฟู ผสานแผล และผิวชั้นนอกของคอลลาเจนมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า เคราติน ที่พบได้ตามขน ตามร่างกาย เส้นผม และเล็บ นอกจากนี้คอลลาเจนยังมีส่วนในการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ๆ กับเส้นเลือด และดวงตาอีกด้วย
ข้อแตกต่างระหว่างคอลลาเจนเปปไทด์ ไตรเปปไทด์ และไดเปปไทด์
คอลลาเจนนั้นเป็นเส้นใยโปรตีนที่มีอยู่ตามทั้งหมดตามร่างกายอวัยวะภายนอกและภายในเกือบ 90% ไม่ว่าจะในส่วนเส้นผม เล็บ โครงสร้างผิวหนัง เส้นหลอดเลือด กล้ามเนื้อ ข้อต่อกระดูก จนถึงกระดูกอ่อนชั้นใน ปัจจุบันเรามักจะได้ยินและพบคอลลาเจนในผลิตภัณฑ์อาหารเสริมด้วยกัน 3 ประเภทด้วยกัน นั่นคือ คอลลาเจนเปปไทด์ คอลลาเจนไตรเปปไทด์ และคอลลาเจนไดเปปไทด์ ลองมาดูกันว่าคอลลาเจนทั้ง 3 ประเภทแต่ละชนิดแตกต่างกันอย่างไร
-
คอลลาเจนเปปไทด์
คอลลาเจนเปปไทด์มีขนาดโมเลกุลใหญ่ที่สุดถึง 2,000 ดาลตัน จึงเป็นคอลลาเจนที่ดูดซึมช้าที่สุด และเป็นคอลลาเจนที่ได้จากการสกัดคอลลาเจนให้อยู่ในรูปของสายกรดอะมิโนที่สั้นลง และย่อยสลายเปปไทด์ของคอลลาเจนด้วยเทคโนโลยี เช่น hydrolysis ทำให้โมเลกุลของคอลลาเจนเปปไทด์มีขนาดเล็กลง ทำให้ร่างกายดูดซึมได้ดีมากยิ่งขึ้น
-
คอลลาเจนไตรเปปไทด์
คอลลาเจนไตรเปปไทด์ (Tripeptide) มีขนาดของโมเลกุล 1,500 ดาลตัน ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ปานกลาง เป็นคอลลาเจนที่ประกอบด้วยกรดอะมิโนเรียงเชื่อมกัน 3 ตัว ด้วยขนาดโมเลกุลที่เล็ก โดยผ่านกระบวนการไฮโดรไลซ์ (Hydrolyze) ทำให้คอลลาเจนไตรเปปไทด์มีคุณสมบัติละลายน้ำได้ดี ดูดซึมและย่อยได้ง่ายขึ้น
-
คอลลาเจนไดเปปไทด์
คอลลาเจนไดเปปไทด์มีโมเลกุลมีขนาดเล็กมากๆ เพียง 200 ดาลตัน ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมได้ดีกว่าคอลลาเจนปกติทั่วไป ซึ่งไม่ต้องผ่านการย่อยไปยังกระเพาะอาหาร จึงทำให้ถูกดูดซึมไปยังลำไส้เล็กเข้าสู่กระแสเลือด และหากว่าร่างกายของเราสามารถดูดซึมได้ดีก็จะทำให้ร่างกายของเรามีผิวพรรณที่ดี เห็นผลได้ชัดเจนและไวกว่า นอกจากคอลลาเจนไดเปปไทด์จะช่วยเรื่องผิวแล้ว ประโยชน์ของคอลลาเจนไดเปปไทด์ยังสามารถช่วยในเรื่องของการซ่อมแซมในเรื่องของกระดูกข้อต่อได้เป็นอย่างดี
สรุปได้ถึงความแตกต่างของคอลลาเจนทั้ง 3 แบบ ทั้งคอลลาเจนเปปไทด์ คอลลาเจนไตรเปปไทด์ และคอลลาเจนไดเปปไทด์ ก็คือขนาดของโมเลกุลที่ต่างกัน และการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่า คอลลาเจนไดเปปไทด์นั้นเป็นคอลลาเจนที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้ดีที่สุด รองลงมาเป็นคอลลาเจนไตรเปปไทด์ และคอลลาเจนเปปไทด์ ตามลำดับ สำหรับคนที่กำลังเลือกซื้อหรือทานคอลลาเจนอยู่ ก็อย่าลืมดูด้วยว่าคอลลาเจนนั้นเป็นคอลลาเจนแบบใด
ข้อแตกต่างระหว่างคอลลาเจนแบบเม็ดกับคอลลาเจนแบบผง
รู้หรือไม่ว่าคอลลาเจนที่เราพบเห็นทั่วๆ ไปมีทั้งแบบเม็ดและแบบผงชงดื่ม แต่ทั้ง 2 แบบนี้มีข้อแตกต่างกันอย่างไร จะให้ประสิทธิภาพเหมือนกันมั้ย ลองมาเช็กกันดูดีกว่า
1.คอลลาเจนแบบเม็ด
- ความกะทัดรัด แน่นอนว่าในชีวิตประจำวันของคนเราไลฟ์ไตล์นั้นแตกต่างกัน วิธีการรับประทานคอลลาเจนเมื่อออกไปเรียน ไปทำงาน หรือมีธุระข้างนอก คอลลาเจนแบบเม็ดนั้นตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี พกพาสะดวกสบาย ต่างกับคอลลาเจนแบบผงที่บางครั้งบรรจุภัณฑ์ก็ใหญ่เทอะทะเกินกว่าจะหิ้วไปไหนมาไหนได้และต้องคงสภาพของตัวผลิตภัณฑ์ให้ปิดมิดชิดตลอดเวลา
- การเก็บรักษาคุณภาพ เพราะเม็ดนั้นได้บรรจุแบ่งแยกต่อการรับประทานต่อครั้ง ทำให้การเสื่อมสภาพของผลิตภัณฑ์นั้นลดลง
- ปริมาณน้อยกว่าแบบผง ทั้งนี้เป็นข้อจำกัดของเม็ดยา ยิ่งใส่สารสกัดปริมาณคอลลาเจนให้สูงขึ้น ขนาดเม็ดยาก็จะใหญ่มากขึ้น ทำให้ในหนึ่งวันอาจจะต้องทานมากกว่า 1 เม็ด เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
- ทานยายากอาจจะลำบาก คอลลาเจนแบบเม็ดนั้นไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาในการกลืนเม็ดยา ซึ่งอาจจะทำให้ ไม่สะดวกมากนัก
2.คอลลาเจนแบบผง
- ได้รับปริมาณมากที่สุด เพราะขนาดอนุภาคผงนั้นใหญ่กว่าและสามารถทำได้หลากหลาย ไม่ว่าคอลลาเจนจะกี่มิลลิกรัมการทำรูปแบบผงนั้นไม่มีข้อกำจัดในส่วนนี้
- เห็นประสิทธิภาพรวดเร็ว ทั้งนี้เป็นเพราะรูปแบบผงสามารถดูดซึมเข้าไปสู่ลำไส้ได้โดยตรง กระจายได้ไวกว่าแบบเม็ดที่ต้องละลายในกระเพาะอาหาร
- สามารถเติมสารอาหารเสริมได้มากกว่าหนึ่ง การที่เราได้รับวิตามินเสริมขณะบริโภคคอลลาเจนไปด้วย ทำให้เป็นการซับพอร์ตเซลล์ซึ่งกันและกัน ยิ่งรับประทานพร้อมกันยิ่งดี โดยเฉพาะวิตามินซีที่ช่วยในการดูดซึมคอลลาเจน
- อาจมีการส่วนผสมน้ำตาลในผลิตภัณฑ์ เพราะคอลลาเจนผงส่วนใหญ่แล้วมีกลิ่นคาวปลา (ส่วนใหญ่สกัดจากปลาทะเลน้ำลึก) ทำให้มีกลิ่นไม่พึงประสงค์นัก การใส่กลิ่น สี หรือน้ำตาลลงไป ทำให้ทานง่ายขึ้นกว่ามาก แต่ข้อเสียคือการคุมน้ำตาลนั้นค่อนข้างยาก ต้องดูส่วนผสมให้ดี
สรุปได้ว่าคอลลาเจนแบบเม็ด พกง่ายสะดวก ไม่มีกลิ่นคาวให้กวนใจ เก็บรักษาได้นานเพราะอยู่ในบรรจุที่มิดชิด แต่มีข้อจำกัดเรื่องปริมาณและดูดซึมได้ช้า ส่วนคอลลาเจนแบบผง พกพาอาจจะไม่สะดวกนัก และการเก็บรักษาค่อนข้างยาก แต่ข้อดีคือ มีรสชาติให้เลือกหลากหลาย กินได้ในปริมาณที่ร่างกายต้องการ แถมบางยี่ห้อผสมวิตามินเสริมมาด้วย ทำให้ดูดซึมง่ายและเห็นผลลัพธ์ได้ไวกว่า
ควรเลือกทานคอลลาเจนประเภทไหน
คอลลาเจน คือ โปรตีนชนิดหนึ่งที่มนุษย์สามารถสร้างเองได้จากการรับประทานอาหารตามธรรมชาติ พบได้มากในร่างกายตั้งแต่เซลล์ภายนอกถึงอวัยวะภายใน หรือแม้แต่กระดูก แต่ว่าเมื่อวัยที่เริ่มมากขึ้นการสร้างโปรตีนนี้ก็เริ่มถดถอย ทำให้การบริโภคอาหารเสริมคอลลาเจนนั้นสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเมื่อร่างกายขาดคอลลาเจนในปริมาณที่เหมาะสมก็จะส่งผลภายนอกอย่างได้ชัด เช่น ผิวแห้ง ผมขาดง่าย เล็บเปราะ มีริ้วรอย บางรายมีภาวะอ่อนแอจากข้างในอย่างโรคไขข้อกระดูกอักเสบ เป็นต้น
คอลลาเจนนั้นมีหลากหลายประเภท แต่มีสามประเภทใหญ่ ๆ ที่ใช้บริโภคอย่างแพร่หลาย ได้แก่
คอลลาเจนประเภทที่ 1 (Type I)
คอลลาเจนชนิดนี้พบได้มากที่สุดในร่างกายมนุษย์ถึง 85% มีความเหนียวยืดหยุ่นและแข็งแรงมากที่สุดเมื่อเทียบกับคอลลาเจนประเภทอื่นๆ ในร่างกาย ป้องกันการฉีกขาด สมานแผลบนผิวหนังและเป็นโครงสร้างที่สำคัญของชั้นผิวหนัง ปกติแล้วคอลลาเจนประเภทที่ 1 ร่างกายสามารถสร้างเองได้ตามธรรมชาติตั้งแต่เรายังอายุน้อยหรือจากการบริโภคอาหารในชีวิตประจำวัน แต่ประสิทธิภาพการผลิตจะเริ่มถดถอยลงเมื่ออายุที่เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นทำให้คอลลาเจนประเภทที่ 1 เป็นที่นิยมในการบริโภคเพื่อความสวยงามมากที่สุด เป็นที่นิยมมากที่สุดในบรรดาคอลลาเจนทั้งหมด
คอลลาเจนประเภทที่ 1 ที่พบได้ตามธรรมชาติ : ปลาทะเลน้ำลึก, เนื้อและหนังของวัว
คอลลาเจนประเภทที่ 2 (Type II)
คอลลาเจนชนิดนี้ทำหน้าที่รองรับน้ำหนักและให้ความแข็งแรงต่อร่างกายในยามเคลื่อนไหวทำกิจกรรมต่างๆ ซึ่งหน้าที่การทำงานนั้นแตกต่างคอลลาเจนประเภทที่ 1 อย่างโดยสิ้นเชิงเพราะคอลลาเจนที่ได้จะเข้าไปกระตุ้นการเกิดสังเคราะห์เซลล์ให้เพิ่มจำนวนมากขึ้น องค์ประกอบของคอลลาเจนชนิดนี้เป็นโปรตีโอไกลแคนและกรดไฮยาลูโรนิคที่ผสานเส้นใยเข้าด้วยกัน อวัยวะที่พบคอลลาเจนประเภทที่ 2 ได้มาก คือ กระดูกอ่อน ข้อต่อกระดูก กระดูกซี่โครง ส่วนประกอบภายในหู หลอดลมและหมอนรองกระดูกสันหลัง มีการศึกษาที่น่าเชื่อถือจนถึงปัจจุบันว่าคอลลาเจนประเภทที่ 2 สามารถลดการอักเสบของข้อต่อในผู้สูงวัย และการรับประทานคอลลาเจนประเภทนี้สามารถลดความเสี่ยงสภาวะการเกิดข้อเสื่อม (Osteoarthritis) มากกว่า 20%
คอลลาเจนประเภทที่ 2 ที่พบได้ตามธรรมชาติ : ซุปกระดูก, ไข่ขาว, ผลไม้รสเปรี้ยว, เนื้อไก่, ถั่วเปลือกแข็ง และผักใบเขียวสีเข้ม
คอลลาเจนประเภทที่ 3 (Type III)
ส่วนใหญ่แล้วจะพบร่วมกันกับคอลลาเจนประเภทที่ 1 มักแทรกซึมอยู่ในข้อต้อต่างๆ หลอดเลือด ผนังหลอดเลือด หลอดเลือดใหญ่ กล้ามเนื้อ แต่สามารถพบน้อยกว่า 10% ทั้งในโครงสร้างผิวหนังและตามข้อต่อ เรียกได้ว่ามีน้อยแต่ก็มีนะ ความสำคัญของคอลลาเจนชนิดนี้คือเป็นส่วนสำคัญในการสร้างกล้ามเนื้อ เนื้อเยื่อ หลอดเลือดและอวัยวะกล้ามเนื้อเรียบ (กระเพาะอาหาร, กระเพาะปัสสาวะ, ลำไส้, มดลูกของผู้หญิงและถุงน้ำดี)
คอลลาเจนประเภทที่ 3 ที่พบได้ตามธรรมชาติ : เนื้อสัตว์ (เนื้อวัวและส่วนหนังของวัว)
เป็นอย่างไรบ้างคะเพื่อนๆ ตัดสินใจเลือกกันได้หรือยังเอ่ย แต่ไม่ว่าจะเป็นคอลลาเจนรูปแบบใดก็มีประโยชน์ต่อร่างกาย ทั้งช่วยในเรื่องของผิวพรรณและสุขภาพภายในของเราทั้งสิ้น ดังนั้นก่อนทานคอลลาเจนก็ต้องเลือกซื้อหรือดูส่วนประกอบให้ตรงกับความต้องการและในปริมาณที่เหมาะสม หวังว่าบทความนี้ของเราจะช่วยเพื่อนๆ ตัดสินใจในการเลือกบริโภคคอลลาเจนกันได้มากขึ้นนะ
แหล่งที่มา :
- Health Benefits of Collagen. https://www.webmd.com/diet/collagen-health-benefits
- Collagen. https://en.wikipedia.org/wiki/Collagen
- What is Collagen. https://www.physio-pedia.com/Collagen
- What is Collagen?. https://www.news-medical.net/health/What-is-Collagen.aspx
- Difference Between Collagen 1 2 and 3. https://pediaa.com/difference-between-collagen-1-2-and-3/
- Collagen Type 3. https://www.sciencedirect.com/topics/neuroscience/collagen-type-3
- Types of Collagen. https://www.drugwatch.com/health/collagen/types/
- Here’s the Difference Between Collagen Powder and Collagen Pills. https://www.thehealthy.com/alternative-medicine/collagen-powder-vs-pills/
- Difference Between Collagen Powder and Collagen Pills. http://www.differencebetween.net/science/difference-between-collagen-powder-and-collagen-pills/
- The Nutrition Source: Collagen. https://www.hsph.harvard.edu/nutritionsource/collagen/
- What to know about collagen supplements. https://www.medicalnewstoday.com/articles/325344
- Collagen supplementation for skin health: A mechanistic systematic review. https://onlinelibrary.wiley.com/doi/abs/10.1111/jocd.13435