ประโยชน์ของเจลาติน มีอะไรบ้าง ครอบคลุมส่วนไหน

ประโยชน์ของเจลาติน มีอะไรบ้าง ครอบคลุมส่วนไหน

Table of Contents

เคยสงสัยไหมว่า เวลาพูดถึงคอลลาเจน ทำไมมีเจลลาตินเข้ามาเป็นหนึ่งในหัวข้อสนทนา แถมมีหลายข้อมูลบอกว่า เจลาตินมีประโยชน์ต่อการเสริมสร้างสุขภาพเล็บ ผิวหนัง ข้อต่อและกระดูกเหมือนกับคอลลาเจนเกือบทุกประการ แต่จะเป็นจริงดังว่าหรือไม่ ประโยชน์ของเจลาติน มีอะไรบ้าง หรือเจลาตินคืออะไร วันนี้เราจะพาไปหาคำตอบ


ประโยชน์ของเจลาติน มีอะไรบ้างครอบคลุมส่วนไหน

ประโยชน์ของเจลาติน มีอะไรบ้างครอบคลุมส่วนไหน

ประโยชน์ของเจลาติน มีอะไรบ้างที่เรากำลังจะพูดถึงต่อไปนี้ ขอเน้นหนักไปที่ความคล้ายคลึงระหว่างเจลาตินกับคอลลาเจนเป็นหลัก โดยครอบคลุมเรื่องความงามและสุขภาพ ดังนี้

1. สุขภาพ 

ด้วยคุณประโยชน์ของเจลาตินที่อุดมไปด้วยกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายกว่า 19 ชนิด จึงคาดการณ์ได้ว่าจะมีประโยชน์ต่อร่างกาย ได้แก่ บรรเทาอาการกระดูกและข้อต่อ ฟื้นตัวหลังจากออกกำลังกาย ลดน้ำหนัก ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง โดยมีกลไกการทำงานต่างกันตามลักษณะอาการ 

  • บรรเทาอาการกระดูกและข้อต่อ หลายคนอาจเข้าใจผิดคิดว่าการกินคอลลาเจนหรือเจลาตินในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยรักษาอาการโรคเกี่ยวกับข้อต่อและกระดูกได้ แต่จริง ๆ แล้วประสิทธิภาพสูงสุดทำได้เพียงบรรเทาอาการไม่ให้กลับมารุนแรง เนื่องจากคอลลาเจนและเจลาตินไม่สามารถทดแทนส่วนที่ขาดหายหรือเสื่อมสลายไปได้ แต่จะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างขึ้นมา เพื่อซ่อมแซมเหมือนกับโปรตีนทั่วไปในร่างกาย ซึ่งมีหน้าที่เข้าไปซ่อมแซมเนื้อเยื่อส่วนที่สึกหรอเท่านั้น ดังนั้น การกินคอลลาเจนหรือเจลาตินจึงไม่ได้มีผลโดยตรงต่อกระดูกและข้อต่อ แต่เป็นผลพลอยได้ของกระบวนซ่อมแซมร่างกาย แต่หากถามว่ากินแล้วได้ผลไหม? แน่นอนว่าได้ แต่ทำได้เพียงแค่บรรเทาอาการ
  • ฟื้นตัวหลังจากออกกำลังกาย ช่วงเวลาที่มีการออกกำลังกาย อาจส่งผลทำให้กล้ามเนื้อและเซลล์เกิดการบาดเจ็บ การได้รับโปรตีนในรูปแบบของเจลาตินจึงมีส่วนช่วยในการซ่อมแซมฟื้นฟูเซลล์ต่าง ๆ ได้เช่นเดียวกับการกินโปรตีนจากเนื้อสัตว์ เนื่องจากมีกรดอะมิโนแบบเดียวกัน
  • ลดน้ำหนัก ด้วยคุณสมบัติของการอุ้มน้ำของเจลาตินได้มากถึง 5 – 10 เท่าของน้ำหนักเดิม จึงทำให้การกินเจลาตินมีส่วนช่วยให้อิ่มท้อง และมีประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก
  • ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เนื่องจากเจลาตินเป็นโปรตีนแต่มีแคลอรีต่ำจึงมีประโยชน์สำหรับผู้มีความผิดปกติเกี่ยวกับระดับน้ำตาลในเลือด จากการศึกษาชิ้นหนึ่งได้ทำการทดลองกับกลุ่มผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ด้วยการให้กินเจลาตินต่อเนื่องกัน 3 เดือน พบว่ามีอัตราการอักเสบลดลงและระดับน้ำตาลในเลือดดีขึ้น
  • ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง แต่ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันว่ามีประสิทธิภาพลดการเติบโตของเซลล์มะเร็งได้จริงหรือไม่ ถึงแม้ผลลัพธ์จะออกมาเป็นที่น่าพึงพอใจ เนื่องจากพบว่าเนื้องอกและเซลล์มะเร็งมีการเติบโตช้าลง แต่ผลสรุปที่ได้เกิดจากการทดลองในหมู ไม่ใช่มนุษย์จึงไม่น่าเชื่อถือเท่าที่ควร 

2. ความงาม

ว่ากันว่าการกินคอลลาเจนหรือเจลาตินจะมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างสุขภาพผิว ผม และเล็บ ด้วยการเข้าไปกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่และมีส่วนร่วมในกระบวนการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผลลัพธ์ที่ได้ไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล และปัจจัยอื่น ๆ เช่น ประเภทคอลลาเจน ปริมาณที่ได้รับต่อวัน และพฤติกรรม แต่อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าการกินคอลลาเจนในรูปแบบอาหารเสริมกับได้รับจากการกินอาหารแบบไหนมีประสิทธิภาพดีกว่ากัน 

3. รักษาโรค

อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ hello คุณหมอ เกี่ยวกับ เจลาติน ได้มีการระบุว่าเจลาตินมีคุณสมบัติในการใช้รักษาอาการต่าง ๆ ดังนี้

  • ลดน้ำหนัก
  • รักษาโรคข้อเข่าเสื่อม
  • เสริมสร้างกระดูกข้อต่อและเล็บ
  • โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ และกระดูกเปราะหรือโรคกระดูกพรุน
  • บำรุงเส้นผม
  • มีส่วนช่วยในการฟื้นตัวหลังการออกกำลังกาย และการได้รับการบาดเจ็บที่มีความเกี่ยวข้องกับกีฬา

แต่อย่างไรก็ตาม ผลจากการรักษาไม่มีข้อมูลเปิดเผยแน่ชัด และยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่ผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้น การจะใช้เจลาตินสำหรับรักษาจึงจำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนเท่านั้น


เจลาตินทำมาจากอะไร มีกี่ประเภท

เจลาตินทำมาจากอะไร มีกี่ประเภท

แน่นอนว่าสำหรับคนที่เขาจะคุ้นเคยกับเจลาตินหรือคอลลาเจนมาบ้าง ก็จะรู้ดีว่าทำมาจากอะไร แต่ใครที่เพิ่งเคยได้ยิน ไปดูกันว่าเจลาตินทำมาจากอะไร และมีกี่ประเภท

1. เจลาตินจากสัตว์

  • เจลาติน ทํามาจากหมู วัว หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม หรือสัตว์ที่มีคอลลาเจนและโปรตีน ได้มาจากการนำคอลลาเจนที่สกัดได้จากส่วนต่าง ๆ ของหมู เช่น หนัง กระดูก มาผ่านกระบวนการสลายโมเลกุลจนมีขนาดเล็กลง 
  • เจลาตินจากปลา ส่วนใหญ่ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมยาและอาหารเสริม เนื่องจากมีคุณสมบัติไม่มีกลิ่น และปราศจากคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และคอเลสเตอรอล 

2. เจลาตินจากพืช

ส่วนใหญ่ทำมาจากพืชหัว เช่น ข้าวโพด มันฝรั่ง มันสำปะหลัง เมล็ดธัญพืช ฯลฯ มีลักษณะเป็นเนื้อแป้งที่ผ่านการสกัดโปรตีนไขมันและเกลือแร่ออกไป จนกลายเป็นแป้งบริสุทธิ์ มักถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร เช่น ทำซุป ซอส วุ้นเส้น

ประเภทของเจลาติน

โดยทั่วไปจะแบ่งตามลักษณะการใช้งานได้ 2 ประเภท ดังนี้

  • ใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร หรือเจลาตินสำหรับอาหาร มีให้เลือกหลายเกรด เช่น
      • เกรด 250 Bloom ค่าความแข็ง 240 – 260 Bloom ค่าความหนืด 30 – 40 mps ใช้ในการผลิต jelly และ marshmallow
      • เกรด 220 Bloom ค่าความแข็ง 210 – 230 Bloom ค่าความหนืด 28 – 34 mps ใช้ในการผลิต jelly และ marshmallow
  • ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและอาหารเสริม ส่วนใหญ่มีให้เลือก 2 เกรด คือ 
    • เกรด 150 Bloom ค่าความแข็ง 140 – 160 Bloom ค่าความหนืด 30 – 36 mps ใช้สำหรับการผลิตแคปซูลชนิดนิ่ม
    • เกรด 250 Bloom ค่าความแข็งมากกว่าหรือเท่ากับ 250 Bloom ค่าความหนืด 45 – 48 mps ใช้ในการผลิตแคปซูลชนิดแข็ง

เจลาติน คืออะไร ? แล้ว เจลาติน vs คอลลาเจน ต่างกันอย่างไร

เจลาติน คืออะไร ? แล้ว เจลาติน vs คอลลาเจน ต่างกันอย่างไร

เจลาติน คือ คอลลาเจนที่ได้จากการสลายคอลลาเจนด้วยกรดหรือด่างหรือการเสียสภาพหรือผ่านการปรุงสุก มีคุณสมบัติละลายได้ดีในน้ำอุ่น (32 องศา) อุ้มน้ำ และเซ็ตตัวในอุณหภูมิปกติ (เยลลี่)

ส่วนใครที่มีความสงสัยว่า เจลาตินกับคอลลาเจน ต่างกันอย่างไร คำอธิบายที่ง่ายที่สุดเลย คือ “ขนาดโมเลกุล” โดยทั่วไปคอลลาเจนจะมีขนาดใหญ่กว่า เนื่องจากเปรียบเสมือนเป็นสารตั้งต้นของเจลาตินที่ต้องผ่านกระบวนการย่อยสลาย เพื่อให้มีโมเลกุลขนาดเล็กลง หรือพูดง่าย ๆ ว่าเจลาตินเป็นส่วนหนึ่งของคอลลาเจนก็ไม่ผิดเสียทีเดียว


เลือกคอลลาเจนแบบไหนดี

เลือกคอลลาเจนแบบไหนดี

หลังจากเข้าใจกันไปมากขึ้นแล้วว่า เจลาตินกับคอลลาเจนมีคุณสมบัติคล้ายคลึงกัน หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นอย่างเดียวกัน ลองไปดูเพิ่มเติมกันว่าควรเลือกคอลลาเจนแบบไหน

  • ไฮโดรไลซ์คอลลาเจน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระตุ้นการเสริมสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน จากการวิจัยชิ้นหนึ่งได้ทำการทดสอบกับผู้หญิงอายุ 45 – 65 ปีจำนวน 114 คน พบว่า การทานคอลลาเจนประเภทไฮโดรไลซ์วันละ 2.5 กรัม ต่อเนื่องกัน 8 สัปดาห์ มีปริมาณคอลลาเจนเพิ่มขึ้นถึง 65% ในขณะที่อีลาสตินเพิ่มขึ้นถึง 18%
  • คอลลาเจนไตรเปปไทด์ มีอนุภาคขนาดเล็กจากการย่อยสลายด้วยกรด จึงทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมได้ดีกว่าคอลลาเจนปกติ 4 – 5 เท่า เหมาะสำหรับผู้มีปัญหาริ้วรอยร่องลึก
  • คอลลาเจนไดเปปไทด์ มีอนุภาคขนาดเล็กเพียง 200 ดาลตัน จัดเป็นกรดอะมิโนสายสั้นที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้เร็ว และมีประสิทธิภาพกว่าคอลลาเจนธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดเลือนริ้วรอยและกระตุ้นให้เกิดการสร้างอีลาสตินในผิวหนัง 

สรุปได้ว่า ประโยชน์ของเจลาตินนั้นมีหลายด้านเพียงแต่ยังไม่ถูกใช้อย่างแพร่หลาย และมีการพูดถึงแค่ในหมู่ผู้เชี่ยวชาญ กรณีใช้รักษาโรคหรืออาการต่าง ๆ เท่านั้น ดังนั้น ถึงแม้จะมีคุณสมบัติแบบเดียวกับคอลลาเจนแต่การนำมาใช้ยังคงต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำ 


อ้างอิง

  • เจลาติน (Gelatin). https://hellokhunmor.com/สมุนไพรและการแพทย์ทางเลือก/เจลาติน-gelatine/

บทความที่เกี่ยวข้อง

เล็บเปราะหักง่าย ? ลองเสริมคอลลาเจนดูสิ!
สาระความรู้
เล็บเปราะหักง่าย ? ลองเสริมคอลลาเจนดูสิ!

เล็บที่สวยงามและแข็งแรงไม่เพียงแค่เพิ่มความมั่นใจ แต่ยังสะท้อนถึงสุขภาพร่างกายโดยรวม หากคุณกำลังประสบปัญหา เล็บเปราะหักง่าย หรือไม่แข็งแรง

อ่านต่อ
รู้จัก คอลลาเจนบํารุงผม ช่วยฟื้นฟูสุขภาพผมจากภายใน
สาระความรู้
รู้จัก คอลลาเจนบํารุงผม ช่วยฟื้นฟูสุขภาพผมจากภายใน

คอลลาเจนบํารุงผม มีบทบาทสำคัญในการดูแลและฟื้นฟูสุขภาพเส้นผม บทความนี้เราจะพาคุณไปรู้จักวิธีที่คอลลาเจนทำงานในการบำรุงเส้นผม

อ่านต่อ
คอลลาเจนช่วยเรื่องอะไร ? เปรียบเทียบแบบเม็ด แบบผง และแบบน้ำ
สาระความรู้
คอลลาเจนช่วยเรื่องอะไร ? เปรียบเทียบแบบเม็ด แบบผง และแบบน้ำ

คอลลาเจนเป็นคำที่ถูกพูดถึงบ่อยในวงการสุขภาพและความงาม แต่คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่า คอลลาเจนช่วยเรื่องอะไร และคอลลาเจนมีความแตกต่างกันอย่างไร?

อ่านต่อ
คอลลาเจนจากพืช VS. คอลลาเจนจากสัตว์ เลือกแบบไหนดี?
สาระความรู้
คอลลาเจนจากพืช VS. คอลลาเจนจากสัตว์ เลือกแบบไหนดี?

คอลลาเจนจากพืชหรือคอลลาเจนจากสัตว์ แบบไหนเหมาะกับเรามากกว่า? การเลือกให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ ความต้องการ และเป้าหมายส่วนตัวเป็นเรื่องสำคัญ

อ่านต่อ
เจลาติน vs คอลลาเจน ต่างกันอย่างไร เลือกแบบไหนดี?
สาระความรู้
เจลาติน vs คอลลาเจน ต่างกันอย่างไร เลือกแบบไหนดี?

เจลาติน vs คอลลาเจน ต่างกันอย่างไร ตั้งแต่กระบวนการผลิต จุดประสงค์ในการใช้งาน คุณสมบัติ ไปจนถึงแคลอรี ควรเลือกแบบไหนดี?

อ่านต่อ
เจลาตินคืออะไร มีประโยชน์อย่างไร หาได้จากที่ไหน
สาระความรู้
เจลาตินคืออะไร มีประโยชน์อย่างไร หาได้จากที่ไหน

เจลาตินคืออะไร ? คำตอบคือ โปรตีนที่ได้จากการสลายตัวของคอลลาเจน (ปรุงสุก) มีลักษณะหนืดคล้ายเจลหรือเยลลี่มีคุณสมบัติดูดซับน้ำได้ดี

อ่านต่อ