ผิวแห้งเสียเกิดจากอะไร ? เท่าที่ทราบน่าจะสังเกตุได้จากลักษณะโดยรวมของผิวต่างออกไปจากปกติ เช่น แห้งตึง แตก เห็นเป็นร่องแตกลาย ลอกเป็นขุย และบางคนอาจมีอาการคันจากการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย หากถามถึงสาเหตุเบื้องต้นคำตอบชัดเจนที่สุดเลยคือผิวขาดน้ำ แต่ให้เจาะมากขึ้นต้องขอบอกว่ามีสาเหตุจากหลายปัจจัย เช่น อายุที่มากขึ้น การเสื่อมสภาพของเซลล์ผิวและปัจจัยภายนอกร่วมด้วย แต่สงสัยไหมว่าผิวขาดน้ำมีกลไกอย่างไร หรือรักษาได้ไหม? วันนี้เรารวมมาให้ครบทุกประเด็นพร้อมวิธีทำให้ผิวชุ่มชื้นไม่แห้งเสียมาฝาก
ผิวแห้งเสียเกิดจากอะไร ? เผยสาเหตุที่แท้จริง
ผิวแห้งเสียเกิดจากอะไร ? ซึ่งผิวแห้งนั้นเกิดจาก 2 สาเหตุหลัก คือ การมีน้ำและน้ำมันในชั้นหนังกำพร้าลดลงส่งผลให้ผิวไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นไวในผิวได้อย่างที่ควรจะเป็น จนเป็นเหตุให้ผิวแห้งแตกหรือลอกเป็นขุยตามมา และเกิดจากการระคายเคืองจากการสัมผัสสารเคมีบางชนิด เช่น สารฟอกขาว (Bleaching agent) นิกเกิล (Nickel) นอกจากนั้นยังมีปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดภาวะผิวแห้งที่พบเห็นได้บ่อย ดังนี้
1. อายุ
มีผลโดยตรงต่อการเปลี่ยนแปลงของสุขภาพผิว
- อายุ 20 – 29 ปี จะเริ่มปรากฏสัญญาณเป็นริ้วรอยบริเวณหางตา ร่องแก้ม และระหว่างคิ้ว ประกอบกับผิวเริ่มบาง ปริมาณคอลลาเจนและเคราตินเริ่มลดลงส่งผลให้ระดับความชุ่มชื้นในผิวลดลงตามไปด้วย
- อายุ 30 – 39 ปี กระบวนการทำงานของเซลล์ผิวเริ่มช้าลง ความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นเริ่มหายไป ส่งผลให้ผิวพรรณขาดความเปล่งปลั่งแลดูหมองคล้ำ ผิวเริ่มแห้งและมีริ้วรอยปรากฏขึ้นเด่นชัด
- อายุ 40 – 49 ปี ถือเป็นช่วงที่มีความกังวลเกี่ยวกับผิวพรรณมากที่สุด เนื่องจากคอลลาเจนที่มีอยู่เริ่มเสื่อมสลายและผิวขาดความตึงกระชับ นอกจากนั้น ในผู้หญิงที่เข้าสู่ช่วงวัยทองจะเริ่มขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งมีผลกระทบต่อเกราะป้องกันผิว ส่งผลให้ผิวแห้ง แพ้ง่าย และเกิดการระคายเคืองอีกด้วย
- อายุ 50 – 59 ปี จะเริ่มพบว่าต่อมไขมันเริ่มทำงานน้อยลงและไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดีเหมือนแต่ก่อน จนกลายเป็นสาเหตุทำให้ผิวแห้งมากกว่าปกติ
- อายุ 60 ปีขึ้นไป จะยิ่งเริ่มเห็นชัดเจนมากขึ้นว่าต่อมไขมันผลิตไขมันลดลงและสังเกตเห็นได้ชัดว่าผิวมีความบางลง ขาดความฟู ไวต่อแสง ขาดน้ำและผิวแห้ง
2. ฮอร์โมน
ฮอร์โมน Cortisol หรือฮอร์โมนความเครียด หากร่างกายผลิตฮอร์โมนชนิดนี้มากเกินไปจะส่งผลต่อความชุ่มชื้นของผิว โดยฮอร์โมนดังกล่าวจะไปลดความสามารถในการกักเก็บความชุ่มชื้น และเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ผิวแห้งตามมานั่นเอง
3. ระยะตั้งครรภ์ ภาวะหมดประจำเดือน
ช่วงฮอร์โมนเกิดความเปลี่ยนแปลงส่งผลให้เกราะป้องกันผิวอ่อนแอและไวต่อการระคายเคืองจนต่อยอดไปสู่ผิวหนังแห้งแตกในที่สุด
4. ขาดวิตามินและแร่ธาตุ
ที่มีส่วนสำคัญในการบำรุงผิวพรรณ เช่น
- วิตามินอี (Vitamin E)
- วิตามินบี (Vitamin B)
- วิตามินซี (Vitamin C)
- วิตามินเอ (Vitamin A)
- ซิงค์ (Zinc)
5. โรคทางผิวหนังหรือโรคอื่น ๆ ที่มีผลทำให้ผิวแห้ง
เช่น ภาวะบกพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ (Hypothyroidism) โรคผิวหนังอักเสบ (Atopic Eczema) โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังโรคผิวหนังอักเสบโรซาเซีย (Rosacea) โดยทั่วไปไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับผิวแห้งโดยตรงเพียงแต่แสดงอาการที่เกี่ยวข้องกับผิวแห้ง เช่น คัน เป็นสะเก็ด เป็นต้น
ผิวแห้งเสียเกิดจากอะไร ส่องปัจจัยภายนอกที่มีผลทำให้ผิวแห้ง
ผิวแห้งเสียเกิดจากอะไร ? ตอบได้ชัดเจนว่านอกเหนือจากปัจจัยภายในแล้วยังมีปัจจัยภายนอก ดังนี้
- สภาพอากาศ : หากอยู่ในช่วงฤดูหนาวและอากาศแห้งจะส่งผลให้ผิวขาดความสมดุล เนื่องจากความชื้นในผิวจะถูกดึงออกมาเพื่อเพิ่มความสมดุลให้แก่อากาศด้านนอก
- ปัจจัยแวดล้อม : เช่น การอาบน้ำอุ่น การอยู่ในห้องแอร์นาน ๆ การใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่มีค่า pH ไม่เหมาะสม
วิธีทำให้ผิวดูชุ่มชื้นไม่แห้งเสีย
สำหรับวิธีทําให้หน้าชุ่มชื้น แบบธรรมชาติที่เรากำลังจะพูดถึงต่อไปนี้เป็นวิธีการฟื้นฟูโดยเน้นแก้จากสาเหตุเป็นหลัก
1. อายุ
- อายุ 20 – 29 ปี ควรบำรุงผิวด้วยการทามอยเจอร์ไรเซอร์เพื่อเน้นให้ความชุ่มชื่นแก่ผิว และหมั่นทาครีมกันแดดทุกครั้งที่ออกแดดเสมอโดยเลือกค่า SPF ไม่ต่ำกว่า 15
- อายุ 30 – 39 ปี ควรบำรุงด้วยครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของมอยเจอร์ไรเซอร์แบบเข้มข้นมากเป็นพิเศษ และควรมีส่วนผสมของน้ำมันสกัดจากธรรมชาติ เนื่องจากวัยนี้ความสามารถในการผลิตน้ำมันในชั้นผิวหนังน้อยลงจึงจำเป็นต้องมองหาน้ำมันทดแทนเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น ร่วมกับการดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย หากไม่รู้ว่าควรดื่มเท่าไหร่สามารถคำนวณโดยใช้สูตร น้ำหนัก x 2.2 x 30/2 = ปริมาณน้ำที่ควรดื่ม เช่น น้ำหนัก 60 x 2.2 x 30/2 = 1,980 มิลลิลิตร
- อายุ 40 – 49 ปี ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของโปรตีนเปปไทด์ เช่น Carrier Peptides, Signal Peptides เพื่อกระตุ้นการเสริมสร้างคอลลาเจน
- อายุ 50 – 59 ปี ต้องหมั่นเติมน้ำมันให้แก่ผิวอย่างสม่ำเสมอด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวิตามินอีหรือน้ำมันจากธรรมชาติไปพร้อม ๆ กับขจัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพ ด้วยกรดผลไม้ความเข้มข้นต่ำ 4 – 8% อย่างน้อยเดือนละครั้ง
- อายุ 60 ขึ้นไป หากต้องการเพิ่มความยืดหยุ่นและความชุ่มชื้นให้แก่ผิวฺ ต้องอาศัยคุณสมบัติจากยาทาหรือยาชนิดรับประทานมากกว่าจะเป็นครีมบำรุง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
2. ฮอร์โมน
กรณีที่มีสาเหตุมาจากฮอร์โมนความเครียดต้องแก้ไขด้วยการปรับพฤติกรรมไปพร้อม ๆ กับการทาครีมบำรุง เริ่มจากการนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ออกกำลังกาย และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ รวมถึงเน้นใช้ครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของมอยเจอร์ไรเซอร์ที่เหมาะกับสภาพผิว
กรณีมีสาเหตุมาจากฮอร์โมนเกิดความเปลี่ยนแปลงช่วงระยะตั้งครรภ์ ควรมองหาครีมบำรุงที่มีส่วนประกอบของมอยเจอร์ไรเซอร์ที่ปลอดภัยและอ่อนโยนต่อทารกในครรภ์ด้วย เช่น
- กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid)
- น้ำแร่ (Mineral Water)
- ไนอะซิไมด์ (Niacinamide)
- วิตามินอี (Vitamin E)
- วิตามินเอ (Vitamin A)
- และอื่น ๆ
3. ขาดวิตามิน
เพิ่มสัดส่วนการทานวิตามินบำรุงผิวในปริมาณที่เหมาะสมหรือเพียงพอต่อความต้องการต่อวัน เช่น
- วิตามินอี (Vitamin E) 40- 200 IU และไม่ควรมากกว่า 1,500 IU
- วิตามินบี (Vitamin B)
- วิตามินบี 1 = 5 มิลลิกรัม
- วิตามินบี 2 = 7 มิลลิกรัม
- วิตามินบี 3 = 20 มิลลิกรัม
- วิตามินบี 5 = 6 มิลลิกรัม
- วิตามินบี 6 = 2 มิลลิกรัม
- วิตามินบี 9 = 200 ไมโครกรัม
- วิตามินบี 12 = 2 ไมโครกรัม
- วิตามินซี 1,000 – 2,000 มิลลิกรัม
- วิตามินเอ 600 – 700 ไมโครกรัม และไม่ควรเกิน 3,000 ไมโครกรัมของเรตินอล
- ซิงค์ (Zinc) = 15 มิลลิกรัม
4. ปัจจัยภายนอก
- ฤดูหนาว
- หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่น
- หลีกเลี่ยงสครับผิว
- ชโลมผิวด้วยเบบี้ออยหรือน้ำมันทาผิวทันทีหลังจากอาบน้ำเสร็จและต่อด้วยโลชั่นที่มีส่วนผสมของไม้มอยเจอร์ไรเซอร์ หากมีบริเวณไหนที่แห้งกร้านมากเป็นพิเศษแนะนำให้ใช้น้ำมันมะพร้าวนวดเบา ๆ
- และก่อนออกแดดทุกครั้งอย่าลืมทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF ตั้งแต่ 15 ขึ้นไป
- เมื่อต้องอยู่ห้องแอร์นาน ๆ
- หมั่นทาครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของมอยเจอร์ไรเซอร์
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ
- หาแก้วน้ำมาวางไว้ใกล้ ๆ เพื่อเพิ่มความชื้นในอากาศ
- ลดปริมาณการดื่มคาเฟอีน
- หลีกเลี่ยงการเปิดแอร์อุณหภูมิต่ำเกินไป
- ค่า pH ไม่สมดุล
เปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีค่า pH อยู่ที่ 5.5 เพื่อเพิ่มความสมดุลและช่วยปกป้องผิวให้ยังคงความชุ่มชื้น พร้อมยับยั้งเชื้อโรคและแบคทีเรีย
แนวทางป้องกันภาวะผิวแห้ง
ผิวแห้งเสียเกิดจากอะไร หลายคนคงจะพอทราบแล้ว ซึ่งนอกเหนือจากวิธีการใส่ใจดูแลเพื่อให้ผิวหน้าชุ่มชื้นมีชีวิตชีวาแล้วก็ยังมีอีกหนึ่งแนวทางนั่นก็คือการปรับพฤติกรรมเพื่อป้องกันการเกิดภาวะผิวแห้ง อ้างอิงข้อมูลจากแพทย์หญิง สัญชวัล วิทยากรฤกษ์ หน่วยผู้ป่วยนอกเด็กและวัยรุ่น ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอมและสารกันเสีย
- หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่น
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศแห้งและเย็น หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ควรทาโลชั่นเพิ่มความชุ่มชื้นอย่างสม่ำเสมอ
เชื่อว่าคุณคงรู้แล้วว่าผิวแห้งเสียเกิดจากอะไร สุดท้ายแล้วปัญหาผิวแห้งสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัยทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน หากไม่อยากให้ผิวแห้งเสียหรือขาดความชุ่มชื้นจำเป็นจะต้องใส่ใจดูแลรอบด้าน เช่น เน้นรับประทานอาหารฟื้นฟูผิวแห้งเสียที่มีประโยชน์หรือมีวิตามินที่ช่วยในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีอากาศเย็นหรือเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นเท่านี้ผิวของเราก็จะกลับมาดูสวยสุขภาพดีและนุ่มชุ่มชื่นได้อย่างแน่นอน
แหล่งที่มา:
- เคล็ด (ไม่) ลับ ดูแลผิวอย่างไร ในวัยของคุณ – โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล. https://theworldmedicalcenter.com/th/new_site/health_article/detail/?page=269