เจลาติน สกัดจากกระดูกหรือหนังสัตว์ เช่น หมู วัว ควาย ไก่ ปลา คอลลาเจนสังเคราะห์ได้จากสัตว์ เช่น หมู วัว ปลา สรุปแล้ว เจลาติน vs คอลลาเจน ต่างกันอย่างไร เหมือนกันหรือไม่ มีคุณสมบัติยังไง ควรเลือกแบบไหน พร้อมวิธีเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของคอลลาเจนด้วยวิตามินหรือสารอาหารอะไรได้บ้าง วันนี้เราจะพาไปหาคำตอบ
เจลาติน vs คอลลาเจน ต่างกันอย่างไร สรุปให้ทีละประเด็น
แน่นอนว่าทุกคนย่อมต้องเกิดความสงสัยว่า เจลาติน vs คอลลาเจน ต่างกันอย่างไร ทั้ง ๆ ที่สกัดมาจากสัตว์ไม่ต่างกัน หลัก ๆ สิ่งที่ต่างกัน มีดังนี้
1. กระบวนการผลิต
- คอลลาเจน ส่วนใหญ่จะใช้วิธีการสกัดโดยใช้กรด Acid Manufacturing Process และต่อด้วยกระบวนการกำจัดแคลเซียม และสารประกอบอื่น ๆ เพื่อให้กลายเป็นคอลลาเจนบริสุทธิ์
- เจลาติน ใช้วิธีเดียวกันเพียงแต่เปลี่ยนรูปของคอลลาเจนให้มาอยู่ในเจลาตินด้วยการใช้ความร้อนและกรดด่างในการย่อยสลายโมเลกุลคอลลาเจนให้มีขนาดเล็กลง
2. จุดประสงค์ในการใช้งาน
คอลลาเจน มีจุดประสงค์ในการเติมเสริมสร้างและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและมีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นหลัก เช่น
-
- เพิ่มความยืดหยุ่น กระชับเรียบเนียนให้แก่ผิว
- ช่วยให้ผมและเล็บแข็งแรง
- มีส่วนช่วยในการกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต
- ช่วยลดเลือนริ้วรอย ป้องกันการเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ
- ช่วยดูแลข้อต่อกระดูก รักษาโรคข้อเสื่อม ช่วยรักษาสิว ลดการอักเสบ
- ช่วยป้องกันผิวจากแสงแดดและมลภาวะต่าง ๆ
เจลาติน มีจุดประสงค์ในการใช้งานหลากหลายกว่า ได้แก่
-
- อุตสาหกรรมอาหาร เช่น ใช้เป็นสารเคลือบผิวเพื่อรักษาความชุ่มชื้น ใช้เป็นสารสำหรับการจับและเก็บรักษากลิ่น รส ใช้ทดแทนไขมัน (โดยเฉพาะในอาหารที่มีไขมันต่ำ) ใช้เป็นสารทำให้เกิดเจล ใช้เป็นสารทำให้เกิดความคงตัว เป็นต้น
- อุตสาหกรรมด้านการแพทย์ เช่น นำไปใช้ในการผลิตแคปซูลยาทั้งแบบอ่อนและแบบแข็ง
- ด้านความงามส่วนใหญ่มีการใช้เจลาตินเพื่อประโยชน์ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและกระตุ้นการเกิดของเซลล์ผิวหนัง
- ประโยชน์ด้านอุตสาหกรรม เช่น การผลิตธนบัตร การผลิตเครื่องดนตรี ผลไม้เทียม การเย็บเล่มหนังสือ และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เนื่องจากมีคุณสมบัติเหนียว ใส และไร้กลิ่น
3. ลักษณะ
- เจลาตินมีหลายลักษณะตั้งแต่ แผ่น ชิ้น ของเหลวไปจนถึงผง สีเหลืองอ่อน น้ำตาลอ่อน สีเหลืองอำพัน
- คอลลาเจน มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 รูปแบบ ได้แก่ แบบเม็ด แบบผง และจากธรรมชาติ มีสีขาวหรือขาวอมเหลืองเล็กน้อย
4. คุณสมบัติ
- เจลาตินละลายได้ดีในความร้อน มีลักษณะอ่อนนุ่ม พองตัว และอุ้มน้ำได้สูงสุด 10 เท่าของน้ำหนักเดิม
- คอลลาเจน
- มีคุณสมบัติละลายน้ำได้
- ไม่มีผลการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้นเมื่อโดนความเย็น
- กรณีเป็นคอลลาเจนทั่วไป ไม่สามารถละลายน้ำได้ทันที เนื่องจากโมเลกุลมีขนาดใหญ่
5. แคลอรี (ปริมาณ 14 กรัม)
- เจลาติน 47 แคลอรี
- คอลลาเจน 50 แคลอรี
เจลาติน vs คอลลาเจน เลือกแบบไหนดี
หากเทียบคุณสมบัติด้านคุณประโยชน์ของเจลาติน vs คอลลาเจน จะเห็นได้ว่ามีความใกล้เคียงกันอย่างมาก โดยเฉพาะกรดอะมิโนที่จำเป็น เช่น ไกลซีน (Glycine), โพรลีน (Proline) กลูตามิก (Glutamic Acid) และกรดอะมิโนอื่น ๆ แต่อย่างไรก็ตามด้วยจุดประสงค์การใช้งานที่ต่างกัน ดังนั้นหากถามว่าควรเลือกใช้คอลลาเจนหรือเจลาตินมากกว่าคำตอบที่ดีที่สุด คือ ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์การใช้งาน (อ้างอิงข้อมูลจากโรงพยาบาลรามา)
1. ใช้เพื่อประโยชน์ด้านความงาม
เน้นการเพิ่มความยืดหยุ่นลดเลือนริ้วรอยและเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวคอลลาเจนเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า การันตีจากผลวิจัยจากสถาบันผิวหนังประเภทญี่ปุ่นและทำการทดลองกับผู้หญิงอายุระหว่าง 35 – 55 ปี จำนวน 47 คน โดยให้กินคอลลาเจน เครื่องดื่มปริมาณ 10 กรัมต่อวันต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3 เดือน พบว่าผิวหนังมีความยืดหยุ่น ริ้วรอยลดเลือน แผลดูจางลง และผิวมีความชุ่มชื้นมากขึ้น
2. ใช้สำหรับการแก้ไขปัญหาโรคข้อเสื่อม
คอลลาเจนตอบโจทย์กว่าการันตีจากผลการศึกษาจาก University of Tübingen ประเทศเยอรมนี โดยได้ทำการทดลองกับผู้มีภาวะข้อเสื่อมจำนวน 2,000 คน โดยให้กินคอลลาเจนปริมาณ 5 กรัมต่อวันต่อเนื่องเป็นเวลา 3 เดือน พบว่าช่วยลดการอักเสบและอาการเจ็บปวดจากการเคลื่อนไหวบริเวณเซลล์กระดูกอ่อนได้
แต่อย่างไรก็ตามได้ถึงแม้คอลลาเจนจะมีประโยชน์ แต่จำเป็นต้องเลือกให้เหมาะกับความต้องการ ดังนี้
- คอลลาเจนไทป์ 1 เป็นชนิดที่พบมากที่สุดในร่างกาย โดยเฉพาะในบริเวณผิวหนัง กระดูก เส้นเอ็น หลอดเลือด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ผิวเติมกระชับและลดความหย่อนคล้อย
- คอลลาเจนไทป์ 2 เป็นชนิดที่พบมากที่สุดในกระดูก ข้อต่อ มีหน้าที่ในการสร้างกระดูกอ่อนและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องข้อต่ออักเสบหรือวัย 40+ เริ่มมีอาการปวดข้อ
ส่วนคำถามที่ว่าใช้เจลาตินแทนคอลลาเจนได้ไหม แน่นอนว่าได้ เนื่องจากผลลัพธ์ไม่ได้แตกต่างกันมากนักเพียงแต่จุดประสงค์ในการใช้งานของเจลาตินครอบคลุมเกี่ยวกับการประกอบอาหารหรืออุตสาหกรรมอื่น ๆ มากกว่าด้านความงาม นอกจากนั้น ทั้งคอลลาเจนและเจลาตินยังมีตัวเลือกหลากหลายตอบโจทย์ได้ทั้งคนที่แพ้นมวัวและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเนื้อสัตว์ด้วยการสกัดจากพืชแบบ 100% ด้วย
เจลาตินคืออะไร สรุปให้ฟังอีกที
สรุปง่าย ๆ ได้ว่า เจลาตินคือ สิ่งที่ทํามาจากคอลลาเจนที่ผ่านกระบวนการปรุงสุกหรือทำให้โมเลกุลมีขนาดเล็กลง โดยยังคงไว้ซึ่งกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายเท่าเดิมแต่คุณสมบัติเปลี่ยนไปนั่นเอง
เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของคอลลาเจน
หากมีความต้องการคุณประโยชน์จากคอลลาเจน ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบของคอลลาเจนหรือเจลาตินแบบเต็มร้อย ควรเลือกกินร่วมกับวิตามินและสารอาหารอื่น ๆ ดังนี้
- วิตามินซี สามารถกินเวลาไหนของวันก็ได้โดยไม่จำเป็นต้องกินพร้อมกับคอลลาเจน เนื่องจากวิตามินซีมีบทบาทสำคัญกระบวนการสร้างคอลลาเจนหลังจากดูดซึมไปแล้ว โดยแบ่งช่วงเวลากินตามปริมาณวิตามินซี เช่น
-
- 500 มิลลิกรัม = กินคอลลาเจนก่อนอาหารเช้า / กินวิตามินซี 500 มิลลิกรัม 1 เม็ดพร้อมอาหารเช้า / กินวิตามินซี 500 มิลลิกรัม 1 เม็ดพร้อมอาหารเย็น
- 1,000 มิลลิกรัม กินคอลลาเจนก่อนอาหารเช้า = กินวิตามินซี 1,000 มิลลิกรัม 1 เม็ดตอนเช้า
ส่วนปริมาณคอลลาเจนที่ควรได้รับต่อวัน อ้างอิงข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ให้คำแนะนำว่า ควรกินคอลลาเจน 2,500 – 5,000 มิลลิกรัมต่อวัน ก็ถือว่าเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย แต่อย่างไรก็ตาม หากมีจุดประสงค์ในการกินคอลลาเจน เพื่อผลเฉพาะทางอาจมีการปรับปริมาณต่างกัน ดังนี้
- เน้นบำรุงกระดูกและข้อ ปริมาณคอลลาเจนที่ควรได้รับต่อวัน 5,000 – 10,000 มิลลิกรัมต่อวัน โดยต้องกินต่อเนื่องกันเป็นเวลา 12 เดือน
- เน้นบำรุงผมผิวเล็บ ควรได้รับปริมาณคอลลาเจนประมาณ 2,000 – 10,000 มิลลิกรัมต่อวันต่อเนื่องกันเป็นเวลา 4 สัปดาห์ขึ้นไป
- ดื่มน้ำเยอะ ๆ น้ำมีส่วนช่วยในกระบวนการดูดซึมคอลลาเจนได้ดีขึ้น เนื่องจากคอลลาเจนมีคุณสมบัติละลายน้ำได้ดี หากดื่มไม่เพียงพออาจทำให้ร่างกายดูดซึมได้เพียงแค่บางส่วน ซึ่งหลายคนอาจมีความสงสัยว่าแล้วควรดื่มน้ำวันละเท่าไหร่จึงจะพอ ขออ้างอิงข้อมูลจากสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติและสถาบันแพทย์ศาสตร์ได้ให้คำแนะนำว่าผู้หญิงควรดื่มน้ำวันละประมาณ 1.5 แก้วหรือ 2.7 ลิตรต่อวัน ผู้ชายควรดื่มประมาณ 15.5 แก้วหรือ 3.7 ลิตรต่อวัน
- คอลลาเจนเสริมโพรไบโอติกส์ เมื่ออายุย่างเข้าสู่เลขสามร่างกายเกิดการอักเสบและเจ็บป่วยง่าย ส่งผลให้เกิดการเสียสมดุลของแบคทีเรียชนิดดี ได้แก่ แบคทีเรียกลุ่ม Lactobacillus casei, Bifidobacterium bifidum, Lactobacillus acidophilus และ Lactococcus lactis ดังนั้น หากต้องการคุณประโยชน์จากคอลลาเจนไปพร้อม ๆ กับการเสริมระบบภูมิคุ้มกันการเลือกทานควบคู่ไปกับโพรไบโอติกก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เจลาตินจะมีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับคอลลาเจน แต่เนื่องด้วยจุดประสงค์ในการใช้งานค่อนข้างหลากหลาย และไม่ได้มีความเฉพาะเจาะจงแค่กระดูกข้อและบำรุงผิวพรรณเพียงอย่างเดียวจึงไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก แต่หากถามว่าสามารถกินแทนกันได้ไหมแน่นอนว่าได้ แต่หากจะให้แนะนำขอแนะนำเป็นคอลลาเจนดีกว่า เนื่องจากครอบคลุมสุขภาพและความต้องการโดยรวมมากกว่า
อ้างอิง
- ยา วิตามิน และอาหารเสริมตัวไหน ควร-ไม่ควรกินคู่กัน. https://www.samitivejhospitals.com/th/article/detail/vitamin-drug-interaction